วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ระหว่างวัน

วันนี้มีเรื่องทำให้ท้อใจอีกละ
มีได้ทุกวันเลย ความกังวลใจเนี่ย
ทำไมน้า ไม่เข้าใจจริงๆๆ
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่มีอะไรมากพอ
ที่จะทำให้สิ่งที่เรารักได้ ก็ทำได้แค่ก้มหน้า ก้มตา
ยอมรับไป ก็เท่านั้นเอง

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บทเรียนของวันนี้

บทเรียนของวันนี้
คือ เรื่องของเมื่อวานเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะมันผ่านมาแล้ว
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้สิ ที่ยาก
แต่พรุ้งนี้เรื่องของวันนี้ก็คงง่ายอีกแหละ
อ่านแล้ว งง ไหมละ เขียนดูมีหลัก การ ลองอ่านอีกรอบน่ะ จะเข้าใจ

วันนี้เรื่องราวของการทำงานไม่มีอะไรน่าห่วงแต่เรื่องของจิตใจนี้สิ น่าห่วงทุกวัน
โรงเรียน ถึง มหาลัยสอนแต่ทำงานให้เป็น แต่ไม่ได้สอนให้ทำใจให้เป็น เลยทำใจยากหน่อยน่ะ
แต่มาหัดเอาทีหลังก็ไม่ยากหรอก แต่ต้องเข้าใจตัวเองเยอะๆ ก่อน ว่า
ชอบอะไร ทำไมถึงชอบ มีผลกระทบกับผู้อื่นหรือเปล่า กระทบดี หรือ ไม่ดี ถ้าดีก็ไม่เป็นไร ทำแล้วเรามีความสุขไหม
ไม่ชอบอะไร ทำไมถึงไม่ชอบ แล้วจะทำไหม ทำแล้วจะเป็นยังไง คนอื่นลำบากไหม หรือเราลำบากไหม ให้ทำอะไรให้กลางๆๆ เพื่อตัวเอง แต่ผู้อื่นไม่เดือด ร้อนน่ะ

วันนี้ไม่มีไรบ่น เพราะ ค่อนข้างมีความนสุขใจดี
มีแต่ความทุกข์กาย (ปวดหลัง, ปวดตัว)

ชีวิตของการทำงาน โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย

เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด

เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน

ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโ ยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมาก มาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับ มอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือ นกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับ อย่างฉะฉานว่า ' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิด ประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ ' ( แล้วไป) <> อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่าง กระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่าง
มีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)

ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ

เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมี โอกา สทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของ หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่าง ข้างต้น

อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก ( ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียน ชี้แนะไว้ว่า

งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงาน แค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมา ซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง
หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย

เจริญพร...

บันทึก

วันนี้ตื่นแต่เช้า มาทำงานคิดถึงแต่สิ่งดีๆ เพราะว่าเมื่อวานไปทำบุญ "วัดทับทิมแดง" มา อนุโมทนาบุญด้วย สาธุ
แต่ เหตุการณ์วันนี้ ก็ได้ทำงาน จริงๆ รู้สึกดีที่มีงานทำ และก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้ฝึกให้ใจเข้มแข็งอีกนั้นก็คือ "การได้รู้ในสิ่งที่เราไม่ควรรู้" ทำให้จิตตกไปเลย แต่หลังจากมาทบทวนแล้วก็รู้ว่า ก็ทำเป็นไม่รู้ไปเสียสิ มันจะยากอะไรละ ไม่ใช้เรื่องของเรา ไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อน เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา และเราก็ไม่ได้ทำให้เขาเดือนร้อน อย่าไปร้อนใจให้รู้ตัวไว้เสมอ ว่านี้คือความทุกข์ใจ ที่เข้ามาในใจเรา อย่าให้ความทุกข์นั้นอยู่ในใจของเรานาน เพราะจะทำให้ เราไม่สดชื่อ และมีกิเลส ในการทำสิ่งไม่ดี
ฝึกใจให้เข้มแข็ง อย่าให้ความทุกข์อยู่นาน แต่จงมองเห็นมันตลอดเวลา แต่ทำยากน่ะ การมองเห็นอย่างเดียวโดยที่เราไม่เอามารู้สึก แต่ต้องฝึกบ่อยๆๆ บางทีถ้าใจเราอ่อนแอ เราก็จะอ่อนไหว ไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หรือเรื่องเล็กๆ น้อย ของเราเอง

วันนั้นอ่อนแอ แต่วันนี้ ไม่ใช่

ขอบคุณ...ความคิด ที่ช่วยให้เราได้ใช้อวัยวะที่ชื่อ “สมอง” บ่อยๆ แ ม้ บ า ง ค รั้ ง ......ที่ความคิดมีมากเกินไปจน “ล้น” แต่หลายครั้ง... ที่เราหยุดทำเรื่องไร้สาระได้ ก็เพราะสิ่งๆ นี้ห้ามไว้
ขอบคุณ... ความฝัน ที่ช่วยให้เกิดแต่สิ่งดีๆ ขึ้นมา เพราะเราอยากเห็นมันกลายเป็นความจริง และบางครั้งอีกเหมือนกัน ที่มันสอยให้เราเข้าใจด้วยว่า “ความฝัน” บางอย่าง เป็นได้แค่ “ความฝัน” เปลี่ยนเป็นความจริงไม่ได้...
ขอบคุณ ... ความจริง ที่ทำให้รู้สึกได้ว่า ตัวเองยังยืนอยู่ บนโลก
ขอบคุณ ... ความทุกข์ ที่บอกอะไรเราได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่เหมือนกับความสุข ที่บางทีทำให้เราหลงเพลิดเพลิน จนลืมพิจารณาตัวเอง....
ขอบคุณ ... ความสุข ที่ทำให้โลกใบนี้ แต้มด้วย รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ....
ขอบคุณ ... ความยาก ที่ทำให้เราเห็นคุณค่า ของ “ความสำเร็จ” เพิ่มขึ้น
ขอบคุณ ... ความง่าย ที่ช่วยเราให้สามารถทำอะไรเสร็จได้บ้าง เพื่อจะได้มีเวลา ไปทำอย่างอื่น ต่อ
ขอบคุณ ... ความสงสัย ที่ทำให้เรา กล้าซักถาม และอยากหาคำตอบ “คนที่ถามจะโง่แต่ห้านาที แต่คนที่ไม่ถามจะโง่ตลอดไป”
ขอบคุณ ... ความกังวล ที่แม้จะถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนกับเก้าอี้โยก คือทำให้เราดูเหมือนว่ามีอะไรทำ แต่ไม่ได้ช่วยให้เราไปไหนเลย แต่บางครั้ง มันกลับทำให้เรารอบคอบขึ้น และมองอะไรหลายๆ มุม ก่อนตัวสินใจ....
ขอบคุณ ... ความเปลี่ยนแปลง ที่ช่วยให้เรารู้จักเตรียมพร้อม และรู้จักการปล่อยวาง
ขอบคุณ ... ความเกลียด ที่ทำให้เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับบางเรื่อง กับคนบางคน หรือกับอะไรบางอย่าง แล้วมีเวลาให้กับสิ่งที่เราไม่เกลียดมากขึ้น...
ขอบคุณ ... ความรัก ที่ทำให้จิตใจเราอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง รู้จักการให้ และ เสียสละ แม้ว่าความรักในระหว่างคนสองคนนั้น จะต้องมีคนหนึ่งรักมากว่า.....อยู่เสมอ....
ขอบคุณ ... ความหลง ที่บอกให้เรารู้ว่า ยังมีอีกคำที่คนชอบเข้าใจผิด ว่าเป็น...ความรัก...
ขอบคุณ ... ความแตกต่าง ที่ทำให้โลกนี้สวยงาม และไม่น่าเบื่อ การยอกรับความแตกต่างของเรากับคนอื่น จะทำให้ประตูของมิตรภาพ เปิดออกตลอดเวลา....

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

การหัวเราะ

คุณเคยหัวร่องอหายขณะคุยสนุกเล่นตลกกับเพื่อนๆหรือเปล่า คุณสังเกตพบอะไรบ้างครับ
ขณะที่คุณหัวเราะ มันก็ยากที่คุณจะรู้สึกเจ็บปวดนะครับ!

สิ่งมหัศจรรย์ทั้งปวงเกิดขึ้นเมื่อคุณหัวเราะ...
ความจุของปอดคุณขยายเพิ่มขึ้น ทำให้การหายใจของคุณดีขึ้น รับปริมาณออกซิเจนได้มากขึ้น
ระบบภูมิคุ้มกันของคุณถูกกระตุ้น คุณจะต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น ร่างกายของคุณปลดปล่อยเซลล์คุ้มกันที่เรียกว่า T-cell ออกมามากขึ้น ซึ่งจะช่วยต่อสู้กับไวรัสและเซลล์มะเร็งได้
ฮอร์โมนเอนดอร์ฟินซึ่งเป็นยาแก้ปวดตามธรรมชาติในร่างกายคุณ จะถูกปล่อยเข้าสู่สมองของคุณ ช่วยลดความตึงเครียด

การหัวเราะไม่เพียงช่วยลดความเจ็บปวดทางกาย แต่ยังช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางจิตใจด้วยนะครับ!
เมื่อเราหัวเราะ เราจะรู้สึกมีความหวัง และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นเองโดยธรรมชาติ
เมื่อเราหัวเราะ เราได้พูดกับตัวเองและกับโลกว่า
"ฉันขอปฏิเสธการต้องทนทุกข์ทรมาน!"

การหัวเราะช่วยให้เราผ่านพ้นความทุกข์โศกและความผิดหวังได้

เกือบทุกสถานการณ์มักมีแง่มุมด้านที่ตลกขบขันเสมอ เราแค่ต้องหาให้เจอเท่านั้นเองครับ!

มีอะไรอีกหรือเปล่าครับที่ช่วยได้ ก็เมื่อเราหยุดที่จะพยายามเป็นคนสมบูรณ์แบบไงล่ะครับ!
เมื่อเราหยุดทำตัวเป็นคนสมบูรณ์แบบ เราก็สามารถหัวเราะให้กับตัวเองได้ เราจึงหัวเราะได้บ่อยมากขึ้น

พูดง่ายๆก็คือ
ชีวิตไม่ได้เคร่งเครียดขนาดนั้น เราควรให้ความสำคัญกับอารมณ์ขันมากขึ้นกว่าที่เป็นครับ!

ที่มา: Happiness Now (The International Bestseller)
เขียนโดย: Andrew Matthews
แปลโดย: ภัทราพร ฟูสกุล

คำว่าผูกพัน

วันนี้...เราอาจรู้สึกผูกพันต่อสิ่งหนึ่ง จนคิดว่าเราขาดไม่ได้ " .....แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ..... สักวันเราจะรู้ว่า... สิ่งที่เราผูกพันในวันนี้. ......เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เติมชีวิตเรา ไม่ใช่...ทั้งหมดของชีวิตเรา
วันหนึ่ง...หากเรามีโอกาสได้เจอสิ่งที่ถูกใจสิ่งใหม่ ที่เราคิดว่าเราพึงใจ...ปรารถนา...ต้องการ...ขาดไม่ได้ เราก็จะเริ่มผูกพันกับสิ่งใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก.... เมื่อเวลาหนึ่งผ่านไป จะสอนเราได้เองว่า .....ความผูกพันกับสิ่งใดๆในช่วงเวลาหนึ่ง จะเป็นความสุขในช่วงเวลานั้น ๆ อย่าได้ไปยึดติด อย่าได้ไปใช้ชีวิตทั้งชีวิตลุ่มหลง... คิดเสียว่า...เราโชคดี...ที่มีโอกาสได้ผูกพันกับสิ่งที่เรารัก
ความผูกพัน...ก็เหมือนกับความรัก... หรืออาจจะเป็นผลพวงที่มาจากความรัก หากเรารักใครคนใดคนหนึ่งมาก เราก็จะรู้สึกว่าผูกพันมาก แต่ความผูกพันที่ว่า... ไม่ได้หมายถึงการหยุดตัวเอง ไว้กับสิ่งนั้นๆ .....เพราะคนเราทุกคนย่อมผูกพันกับหลายๆสิ่ง เปรียบเสมือน เรามีแก้วนำอยู่หนึ่งใบ ในยามเช้า...เราอาจต้องใช้แก้วใบนี้ดื่มนม พออากาศร้อนหน่อย...เราอาจต้องการน้ำเย็น ๆ บางครั้งที่เราไม่สบาย...เราอาจต้องการน้ำอุ่น ใจเราก็เหมือนกับแก้วน้ำ... ต้องเติมสิ่งต่าง ๆ ในเวลาที่แตกต่างกัน...ตามความเหมาะสม หากเราเติมน้ำเย็นลงไปในแก้วน้ำ แล้วเติมน้ำร้อนลงไปในทันที ในแก้วใบเดียวกัน เราก็จะพบว่า...แก้วใบนั้น...ก็จะร้าว...แล้วเริ่มแตก ซึ่งก็เหมือนกับใจเรา... ความผูกพันต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดในช่วงเวลาหนึ่ง...ไม่ผิด ถ้าเราค่อยๆปรับใจ...ปรับตัวของเราเอง...ให้กลับคืนในเวลาที่ควร เพราะอย่างน้อยที่สุด...เราก็มีโอกาส...ได้ผูกพัน... ซึ่งก็เหมือนเรามีโอกาส.. ...ได้รัก นั่นเอง ถ้าคุณมีความสุขที่เห็นเค้าเดินกับคนอื่น ...คือ...ความรัก ถ้าคุณเศร้า...เหงา...คิดถึงเค้า...อยากเจอ...อยากพูดคุย .....คือ...ความรัก ถ้าคุณร้อนรนที่เค้าอยู่กับใครๆที่ไม่ใช่คุณ ...คือ...ความใคร่ อยากเก็บไว้เป็นเจ้าของคนเดียว ถ้าคุณเมามาย...เค้าลูบหลังไหล่...ดูแล .....คือ...ความรักที่บริสุทธิ์ใจ ถ้าคุณเมามาย...เค้ากอดและสัมผัสร่างกาย .....คือ...ความใคร่จากเค้าของคุณ
ถ้าคุณเข้าหา...แต่เค้าหนี... ...คือ...ความใคร่ ที่หมดเยื่อใยแล้ว ถ้าคุณหนี...แต่เขาวิ่งตามมา... .....คือ...ความรักที่ยังไม่มีจุดจบ ถ้าคุณร้องไห้...ให้กับคนที่ไม่มีเยื่อใยในตัวคุณ .....คุณคือ...คนโง่...และบ้า อย่างน่าอาย แต่ถ้าคุณพอใจ...จงรัก...และมอบความรักให้กับเค้า แม้มันจะไม่กลับมาหาคุณก็ตาม จงดีใจที่ได้รักซะวันนี้.....ดีกว่าที่จะมานั่งเสียใจในวันหน้า จงภูมิใจที่มีความใคร่...เสน่หา เพราะมันจะไม่ย้อนกลับมาหาอีกต่อไป

การพูดกับตัวเอง

ผมเคยรู้จักชายคนหนึ่งชื่อ ปีเตอร์ เขามักบอกคนอื่นตลอดว่า "เงินทุกบาทที่ผมหามาได้ ล้วนต้องนำไปจ่ายค่าหนี้หมด" เขาพูดปร๋อเหมือนนกแก้ว! และไม่น่าแปลกใจ... ที่เขาถังแตกตลอดเวลา!
ภาษาของคุณจะก่อรูปแบบการใช้ชีวิตตัวคุณเองครับ หากคุณบอกผู้คนว่า คุณถังแตกอยู่ตลอดเวลา คุณก็มีแนวโน้มที่จะถังแตกอยู่ตลอดเวลา หากคุณคาดว่าคุณจะลืม คุณก็จะลืมครับ! หากคุณทำตัวเหมือนคนปัญญาอ่อน ก็...

ลองนึกภาพนักมวยที่ก้าวขึ้นไปบนสังเวียน แล้วบอกกับตัวเองว่า
"ฉันมันขี้แพ้ ฉันมันขี้ขลาดตาขาว!"
คุณคิดว่าเขาจะแข่งชกอยู่บนสนามได้นานแค่ไหนเชียวครับ
ลองนึกภาพนักร้องเดินขึ้นบนเวที แล้วบอกกับตัวเองว่า
"ฉันรู้สึกหมดหวัง บรรดาคนฟังจะต้องเกลียดฉัน!"
แล้วเธอจะร้องเพลงได้ดีแค่ไหนกันล่ะครับ
มันเป็นหนทางนำไปสู่หายนะโดยแท้

แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีเดิมๆ เช่นนี้ทุกวัน เราบอกกับตัวเองว่า "ฉันอ้วน" "ความจำฉันแย่มาก" "ฉันถังแตกตลอดเวลา" "ฉันมันปัญญาอ่อน" จากนั้นเราก็กลับมานั่งสงสัยว่า ทำไมเราถึงล้มเหลว!

แล้วคุณจะเริ่มคิดในแง่บวกได้ยังไงหรือครับ ขั้นแรกก็คือ ระวังคำพูดของคุณให้ดี! ลองสังเกตว่า คุณพูดถึงตัวเองอย่างไรบ้าง

นับตั้งแต่วันนี้ อย่าพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเองอีก อย่าบอกใครต่อใครว่า "ฉันไร้ค่า ฉันทำเรื่องเสียอยู่เสมอ ฉันถูกแฟนทิ้งประจำเลย..."
จงสัญญากับตัวเองว่า "นับแต่นี้ ฉันจะไม่วิจารณ์ตัวเอง หากฉันไม่มีเรื่องดีๆ เกี่ยวกับตัวเองที่จะพูดถึง ฉันก็จะปิดปากเงียบ"

บางครั้งการควบคุมความคิดของเราก็เป็นเรื่องยาก แต่เราสามารถควบคุมคำพูดที่จะออกจากปากของเราได้ เมื่อเราควบคุมภาษาของเราได้แล้ว เราก็จะเริ่มคิดในแง่บวกมากขึ้น และชีวิตก็จะดีขึ้นครับ

พูดง่ายๆก็คือ
เราจะกลายเป็นอย่างที่เราคิดว่าเราเป็น!

ที่มา: Happiness Now (The International Bestseller)
เขียนโดย: Andrew Matthewsแปลโดย: ภัทราพร ฟูสกุล

การทำงานของวันนี้

วันนี้ มาทำงานแต่เช้าเหมือนเดิมแต่รถติดกว่าเดิม
ตอนเช้ายังมีความรู้สึกไม่ท้อมาก
ทำไม ตอนบ่าย ท้อมาก กว่าเดิม
เพราะว่า ไปรู้เรื่อง ของคนอื่นแล้เอามาใส่ในใจเรานี้เอง
ช่างหนัก หนา อะไรขนาดนี้ ไม่ใช้เรื่องของตัวเอง
เอามาถือไว้ทำไม ไม่รู้จักวางน่ะ "ถามตัวเองอย่างนี้"
แต่ก็ไม่วายที่จะรู้สึกไม่ดี แต่ทำไงได้ อยู่กับตัวเองดีกว่า
ดีที่สุด
เราไม่สามารถ เลี่ยงคนได้ แต่เราสามารถ ตัดความรู้สึก
ออกจากใจเราได้ตลอดเวลา ขอให้เราฝึกฝน บ่อยๆ เท่านั้นเอง

Happiness Now Story - กฎของเมล็ดพันธุ์

ผลงานเขียนหนังสือเล่มแรกของผมเป็หนังสือเด็ก ผมได้ยินมาว่า การจะให้หนังสือได้รับการตีพิมพ์นั้นจะยากทีเดียว
ผมจึงหาที่อยู่ของสำนักพิมพ์หนังสือเด็กถึง 60 แห่ง ทำสำเนาต้นฉบับ 60 ชุด และส่งเสนอไปทั่วโลก

ผมรู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากโดยคิดว่า "หากเลวร้ายสุดๆ ผมจะถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์สัก 50 แห่ง แล้วผมก็จะเลือกจากที่เหลือ"
ลองทายสิครับว่า ผมได้รับจดหมายตอบปฏิเสธกี่ฉบับ!

61 ฉบับครับ! มีสำนักพิมพ์หนึ่งที่ส่งจดหมายปฏิเสธมาถึงผมสองรอบ!

ผมจึงเขียนหนังสือขึ้นมาอีกเล่มหนึ่ง และส่งไปให้สำนักพิมพ์ต่างๆอีก ในที่สุดก็มีใครบางคนตอบ "ตกลง"

หากเราอยากให้บางอย่างอย่างเกิดขึ้นจริงๆ เรามักต้องพยายามมากกว่าหนึ่งครั้ง ครับ
มันเป็นกฏของธรรมชาติครับ

เช่น แอปเปิลต้นหนึ่งออกผล 500 ผล แต่ละผลมี 10 เมล็ด เราอาจพูดว่า "เมล็ดเยอะจัง!"
ทำไมคุณต้องใช้เมล็ดจำนวนมากมายขนาดนั้นเพื่อต้นไม้ที่โตเพิ่มเพียงไม่กี่ต้นด้วยล่ะครับ
ก็เพราะเมล็ดส่วนใหญ่จะไม่งอกนะสิครับ

ในชีวิตของคุณ กฏนี้อาจหมายถึงว่า
คุณจะต้องไปสอบสัมภาษณ์งาน 20 แห่ง เพื่อให้ได้งานเพียงหนึ่งงาน
คุณจะต้องสอบสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน 40 คน เพื่อให้ได้ลูกจ้่างที่ดีเพียงคนเดียว
คุณจะต้องเจรจากับคน 50 คน เพื่อขายบ้าน รถยนต์ เครื่องดูดฝุ่น ประกันภัย หรือขายความคิดให้ได้เพียงหนึ่งเดียว
คุณอาจต้องพบปะเจอะเจอผู้คนที่คุ้นเคยนับร้อยเพื่อหาเพื่อนคนพิเศษเพียงคนเดียว
เมื่อเราเข้าใจ "กฏของเมล็ดพันธุ์" เราก็จะไม่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้เคราะห์ร้ายอีก เราจะไม่รู้สึกผิดหวังมากมายด้วยครับ

กฏของธรรมชาติไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะกับใครบางคนเป็นการส่วนตัวเท่านั้น
เราเพียงแต่ต้องทำความเข้าใจ และทำงานร่วมกับกฏของธรรมชาตินี้ให้ได้ครับ

พูดง่ายๆก็คือ
ผู้คนที่ประสบความสำเร็จ จะล้มเหลวบ่อยกว่า พวกเขาหว่านเมล็ดพันธุ์มากกว่าครับ

ที่มา: Happiness Now (The International Bestseller)
เขียนโดย: Andrew Matthews
แปลโดย: ภัทราพร ฟูสกุล

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความเป็นจริงของคน

**..มนุษย์ทุกคนมีความทุกข์เสมอกัน
จงทำใจที่จะยอมรับและร่วมเดินทางไปพร้อมกับมัน
อย่างมีความสุขดีกว่า..**


# ทำในสิ่งที่มีความสุข ที่ทำแล้วสบายใจ
และไม่สร้างความเดือนร้อนให้ใคร ><


# ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพราะบางอย่างเราเลือกไม่ได้..


When god opens windows of heaven he saw me and Asking. What is your wish For… today?
I said please take care of person. Who’s Reading This massage.


# ความเพียรพยายามทำให้บุคคลแตกต่างกัน..”

“..อย่ากลัวความฝัน และอย่ากลัวที่จะทำมัน..”

? ความจริงถ้าพูดออกมาแล้ว ไม่เกิดผลดีกับใคร ก็จง “อย่าพูด” ?