วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ระหว่างวัน

วันนี้มีเรื่องทำให้ท้อใจอีกละ
มีได้ทุกวันเลย ความกังวลใจเนี่ย
ทำไมน้า ไม่เข้าใจจริงๆๆ
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเราไม่มีอะไรมากพอ
ที่จะทำให้สิ่งที่เรารักได้ ก็ทำได้แค่ก้มหน้า ก้มตา
ยอมรับไป ก็เท่านั้นเอง

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บทเรียนของวันนี้

บทเรียนของวันนี้
คือ เรื่องของเมื่อวานเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะมันผ่านมาแล้ว
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้สิ ที่ยาก
แต่พรุ้งนี้เรื่องของวันนี้ก็คงง่ายอีกแหละ
อ่านแล้ว งง ไหมละ เขียนดูมีหลัก การ ลองอ่านอีกรอบน่ะ จะเข้าใจ

วันนี้เรื่องราวของการทำงานไม่มีอะไรน่าห่วงแต่เรื่องของจิตใจนี้สิ น่าห่วงทุกวัน
โรงเรียน ถึง มหาลัยสอนแต่ทำงานให้เป็น แต่ไม่ได้สอนให้ทำใจให้เป็น เลยทำใจยากหน่อยน่ะ
แต่มาหัดเอาทีหลังก็ไม่ยากหรอก แต่ต้องเข้าใจตัวเองเยอะๆ ก่อน ว่า
ชอบอะไร ทำไมถึงชอบ มีผลกระทบกับผู้อื่นหรือเปล่า กระทบดี หรือ ไม่ดี ถ้าดีก็ไม่เป็นไร ทำแล้วเรามีความสุขไหม
ไม่ชอบอะไร ทำไมถึงไม่ชอบ แล้วจะทำไหม ทำแล้วจะเป็นยังไง คนอื่นลำบากไหม หรือเราลำบากไหม ให้ทำอะไรให้กลางๆๆ เพื่อตัวเอง แต่ผู้อื่นไม่เดือด ร้อนน่ะ

วันนี้ไม่มีไรบ่น เพราะ ค่อนข้างมีความนสุขใจดี
มีแต่ความทุกข์กาย (ปวดหลัง, ปวดตัว)

ชีวิตของการทำงาน โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

โดยพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

อาตมาอ่านเจอกลอนในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ที่ผู้เขียนระบายไว้ได้สาแก่ใจมากเลย

เร็ว ก็หาว่าล้ำหน้า
ช้า ก็หาว่าอืดอาด
โง่ ก็ถูกตวาด
พอฉลาด ก็ถูกระแวง
ทำก่อน บอกไม่ได้สั่ง
ทำทีหลัง บอกไม่มีหัวคิด

เฮ้อ นี่แหละชีวิตคนทำงาน ข้างต้น น่าจะเป็นกลอนที่โดนใจบรรดาคนทำงานหลายๆ คน เพราะสะท้อนความรู้สึกกดดันอย่างชัดเจน

ซึ่งจากการได้พูดคุยกับโ ยมที่เข้ามาปรึกษาหารือถึงสาเหตุที่ทำงานกันอย่างไม่มีความสุขก็มีปัจจัยมาก มาย เช่น ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด ทำงานที่ไม่ชอบ โดนหัวหน้างานกดขี่ หรือรู้สึกว่าหน้าที่ที่ตัวเองได้รับ มอบหมายนั้นต่ำต้อย ฯลฯ โดยจะว่าไปแล้ว บริษัทก็เหมือ นกับบ้านหลังที่สองของเรา บางคนใช้ชีวิตในบริษัทมากกว่าที่บ้านซะอีก เพราะต้องตื่นขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ กลับถึงบ้านก็ ๒-๓ ทุ่ม วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง หากต้องใช้ ชีวิตในการทำงาน (รวมนั่งรถไป-กลับ) วันละ ๑๐ กว่าชั่วโมงแล้ว ถ้าโยมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากๆ

อาตมาชอบใจคุณยามที่บริษัทแห่งหนึ่งมาก เคยถามเขาว่า ไม่เบื่อเหรอ เปิดประตูทั้งวัน เขาตอบกลับ อย่างฉะฉานว่า ' ไม่เบื่อหรอกครับท่าน เพราะคนจะเข้าไปที่นี่ได้หรือไม่ได้ มันอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เปิด ประตู ไม่อนุญาตหรือบอกไม่ให้เข้า เขาก็ไม่ได้เข้านะ อย่างพระอาจารย์มาบรรยายที่นี่ ผมไม่ให้เข้าก็ ได้ ... แต่ผมให้เข้าครับ ' ( แล้วไป) <> อาตมาจึงไม่แปลกใจเลย เวลาไปทำธุระที่บริษัทนี้ทีไร มักเห็นเจ้าหมอนี่ ทำหน้าที่ตัวเองอย่าง กระตือรือร้น ก็เพราะเขามีทัศนคติที่ดีต่อหน้าที่ เห็นความสำคัญของตัวเอง จึงทำให้เขาทำงานได้อย่าง
มีความสุข (แถมมีมุขอำกลับอาตมาอีกต่างหาก)

ดังนั้นอาตมาจึงอยากจะหนุนใจญาติโยมที่กำลังรู้สึกย่ำแย่กับงานของตัวเองว่า
ถ้าเราทำงานจนเมื่อยมือเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีมือให้เมื่อย
ถ้าเราเดินไปเดินมาจนปวดขาเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีขาให้ปวด
ถ้าเราเห็นหัวหน้า แล้วเซ็งเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีหัวหน้าให้เซ็ง
ถ้าเราเห็นงาน แล้วเราเบื่องานเหลือเกิน
ก็จงดีใจเถอะ ที่มีงานให้เบื่อ

เพราะหลายคนพอไม่มีงานให้ทำ ก็จะประท้วงกัน อยากทำงาน ! อยากทำงาน ! ดังนั้นเมื่อคุณโยมมี โอกา สทำแล้ว ก็จงทำให้ดีที่สุด เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนทัศนคติต่องานที่ทำก่อน เห็นความสำคัญของ หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ทำมันอย่างเต็มที่และดีที่สุด เหมือนดั่งคุณยามที่อาตมายกมาเป็นตัวอย่าง ข้างต้น

อาตมาเคยอ่านเจอคำแนะนำของท่านพระธรรมปิฎก ( ป.อ.ประยุตฺโต) ในหนังสือเล่มหนึ่ง ท่านเขียน ชี้แนะไว้ว่า

งานมีผลตอบแทนสองชั้นด้วยกัน ผลตอบแทนชั้นที่ ๑ คือ ตอนเงินเดือนออก นี่คือความสุขชั้นที่หนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนมีความสุขในการทำงาน แค่วันนั้นวันเดียว แต่ถ้าเราสามารถพัฒนาตัวเองไปพร้อมกับงานได้ มันก็จะก้าวไปสู่อีกระดับ อันนำมา ซึ่งผลตอบแทนหรือความสุขชั้นที่ ๒ นั่นเอง
หนึ่งเดือน คุณโยมอยากมีความสุขเพียง ๑ ชั้น หรือ ๒ ชั้น ก็เลือกเอาตามใจชอบเลย

เจริญพร...

บันทึก

วันนี้ตื่นแต่เช้า มาทำงานคิดถึงแต่สิ่งดีๆ เพราะว่าเมื่อวานไปทำบุญ "วัดทับทิมแดง" มา อนุโมทนาบุญด้วย สาธุ
แต่ เหตุการณ์วันนี้ ก็ได้ทำงาน จริงๆ รู้สึกดีที่มีงานทำ และก็ต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราได้ฝึกให้ใจเข้มแข็งอีกนั้นก็คือ "การได้รู้ในสิ่งที่เราไม่ควรรู้" ทำให้จิตตกไปเลย แต่หลังจากมาทบทวนแล้วก็รู้ว่า ก็ทำเป็นไม่รู้ไปเสียสิ มันจะยากอะไรละ ไม่ใช้เรื่องของเรา ไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อน เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา และเราก็ไม่ได้ทำให้เขาเดือนร้อน อย่าไปร้อนใจให้รู้ตัวไว้เสมอ ว่านี้คือความทุกข์ใจ ที่เข้ามาในใจเรา อย่าให้ความทุกข์นั้นอยู่ในใจของเรานาน เพราะจะทำให้ เราไม่สดชื่อ และมีกิเลส ในการทำสิ่งไม่ดี
ฝึกใจให้เข้มแข็ง อย่าให้ความทุกข์อยู่นาน แต่จงมองเห็นมันตลอดเวลา แต่ทำยากน่ะ การมองเห็นอย่างเดียวโดยที่เราไม่เอามารู้สึก แต่ต้องฝึกบ่อยๆๆ บางทีถ้าใจเราอ่อนแอ เราก็จะอ่อนไหว ไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หรือเรื่องเล็กๆ น้อย ของเราเอง

วันนั้นอ่อนแอ แต่วันนี้ ไม่ใช่

ขอบคุณ...ความคิด ที่ช่วยให้เราได้ใช้อวัยวะที่ชื่อ “สมอง” บ่อยๆ แ ม้ บ า ง ค รั้ ง ......ที่ความคิดมีมากเกินไปจน “ล้น” แต่หลายครั้ง... ที่เราหยุดทำเรื่องไร้สาระได้ ก็เพราะสิ่งๆ นี้ห้ามไว้
ขอบคุณ... ความฝัน ที่ช่วยให้เกิดแต่สิ่งดีๆ ขึ้นมา เพราะเราอยากเห็นมันกลายเป็นความจริง และบางครั้งอีกเหมือนกัน ที่มันสอยให้เราเข้าใจด้วยว่า “ความฝัน” บางอย่าง เป็นได้แค่ “ความฝัน” เปลี่ยนเป็นความจริงไม่ได้...
ขอบคุณ ... ความจริง ที่ทำให้รู้สึกได้ว่า ตัวเองยังยืนอยู่ บนโลก
ขอบคุณ ... ความทุกข์ ที่บอกอะไรเราได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่เหมือนกับความสุข ที่บางทีทำให้เราหลงเพลิดเพลิน จนลืมพิจารณาตัวเอง....
ขอบคุณ ... ความสุข ที่ทำให้โลกใบนี้ แต้มด้วย รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ....
ขอบคุณ ... ความยาก ที่ทำให้เราเห็นคุณค่า ของ “ความสำเร็จ” เพิ่มขึ้น
ขอบคุณ ... ความง่าย ที่ช่วยเราให้สามารถทำอะไรเสร็จได้บ้าง เพื่อจะได้มีเวลา ไปทำอย่างอื่น ต่อ
ขอบคุณ ... ความสงสัย ที่ทำให้เรา กล้าซักถาม และอยากหาคำตอบ “คนที่ถามจะโง่แต่ห้านาที แต่คนที่ไม่ถามจะโง่ตลอดไป”
ขอบคุณ ... ความกังวล ที่แม้จะถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนกับเก้าอี้โยก คือทำให้เราดูเหมือนว่ามีอะไรทำ แต่ไม่ได้ช่วยให้เราไปไหนเลย แต่บางครั้ง มันกลับทำให้เรารอบคอบขึ้น และมองอะไรหลายๆ มุม ก่อนตัวสินใจ....
ขอบคุณ ... ความเปลี่ยนแปลง ที่ช่วยให้เรารู้จักเตรียมพร้อม และรู้จักการปล่อยวาง
ขอบคุณ ... ความเกลียด ที่ทำให้เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับบางเรื่อง กับคนบางคน หรือกับอะไรบางอย่าง แล้วมีเวลาให้กับสิ่งที่เราไม่เกลียดมากขึ้น...
ขอบคุณ ... ความรัก ที่ทำให้จิตใจเราอ่อนโยน ไม่แข็งกระด้าง รู้จักการให้ และ เสียสละ แม้ว่าความรักในระหว่างคนสองคนนั้น จะต้องมีคนหนึ่งรักมากว่า.....อยู่เสมอ....
ขอบคุณ ... ความหลง ที่บอกให้เรารู้ว่า ยังมีอีกคำที่คนชอบเข้าใจผิด ว่าเป็น...ความรัก...
ขอบคุณ ... ความแตกต่าง ที่ทำให้โลกนี้สวยงาม และไม่น่าเบื่อ การยอกรับความแตกต่างของเรากับคนอื่น จะทำให้ประตูของมิตรภาพ เปิดออกตลอดเวลา....